The Bawbk.

สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่สนใจ เรื่องอาหารบำรุงสมองลูกน้อย เชื่อว่าหลาย ๆ ท่านพอทราบกันมาบ้างแล้วว่ามีอาหารประเภทใดบ้าง แต่น้อยคนนักที่จะทราบว่า “ใบบัวบก” ก็จัดอยู่ในกลุ่มอาหารบำรุงสมองด้วยเช่นกัน

ความน่าสนใจนี้ ภญ.ดร.สุภาพร ปิติพร หัว หน้ากลุ่มงานเภสัชกรรม รพ.เจ้าพระยาอภัยภูเบศร จ.ปราจีนบุรี ในฐานะผู้เชี่ยวชาญเรื่องสมุนไพร ให้ความรู้ผ่านทีมงาน Life & Family ว่า นอกจากใบบัวบกจะมีสรรพคุณแก้ร้อนใน ช้ำใน หรือแก้กระหายน้ำได้ดีแล้ว ยังออกฤทธิ์เช่นเดียวกับแปะก๊วยที่ช่วยเพิ่มความสามา รถด้านความจำ และการเรียนรู้ในเด็ก

เห็นได้จากการทดลองในสัตว์พบว่า บัวบกทำให้ลูกหนูมีความจำและความสามารถในการเรียนรู้ ดีขึ้น ทำให้เซลล์สมองของหนูแรกเกิดในส่วนที่เกี่ยวข้องกับค วามฉลาดมีการพัฒนาการ ที่ดีกว่าหนูในกลุ่มควบคุม ทั้งยังทำให้ปฏิภาณไหวพริบในการหลบหลีกสิ่งกีดขวางขอ งหนูดีขึ้น ตลอดจนยังเพิ่มสมาธิและความสามารถในการตัดสินใจเฉพาะ หน้าในหนูได้ดี ส่วนการศึกษาในมนุษย์นั้นพบความมหัศจรรย์คือ เด็กที่มีปัญหาด้านการเรียนรู้ และกินบัวบกวันละ 500 มิลลิกรัมติดต่อกัน 3 เดือนมีความสามารถเรียนรู้ได้ดีกว่ากลุ่มควบคุม

อย่างไรก็ดี ยังมีการศึกษาการเพิ่มความจำในผู้สูงอายุด้วยว่า หลังจากใช้สารสกัดบัวบก 750 มก. นาน 2 เดือน พบว่าความจำ การเรียนรู้ อารมณ์ของผู้สูงอายุดีขึ้นกว่าเดิม ทั้งยังมีการวิจัยในผู้หญิงอายุเฉลี่ย 33 ปี ที่ได้รับสารสกัดบัวบก 500 มก.วันละ 2 ครั้ง พบว่า ช่วยลดความผิดปกติที่เกิดจากความกังวล ลดความเครียด และซึมเศร้าได้ดี

“บัวบกช่วยเพิ่มออกซิเจนใน สมอง ทำให้การหายใจในระดับเซลล์สมองดีขึ้น ทั้งยังช่วยต้านอนุมูลอิสระ ต้านการเสื่อมของเซลล์สมอง คงสภาพปริมาณของสารสื่อประสาทและเสริมฤทธิ์การทำงานข องสารสื่อประสาท และยังทำให้หลอดเลือดมีความแข็งแรงสามารถนำเลือดไปเล ี้ยงอวัยวะต่าง ๆ ได้ดีขึ้นด้วย” ผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรอธิบายถึงการศึกษาในระดับเซล ล์ถึงกลไกการออกฤทธิ์บำรุงสมองของใบบัวบก

“ใบบัวบก” แก้ช้ำใน-บำรุงสมอง

สำหรับข้อควรระวังในการรับประทานใบบัวบกนั้น ผู้เชี่ยวชาญรายเดียวกันนี้ บอกว่า เด็กไม่ควรกินทีละเยอะ ๆ ส่วนคุณแม่ตั้งครรภ์ที่อยากบำรุงสมองลูกตั้งแต่อยู่ใ นครรภ์ ควรหลีกเลี่ยง เพราะใบบัวบกช่วยให้เลือดไหลเวียนดีมากเกินไป อาจเป็นอันตรายต่อครรภ์ได้

“ในอินเดียเขาให้เด็กกินวันละใบ 2 ใบ ช่วยแก้โรคในคอ และโรคติดอ่างในเด็ก สำหรับเด็กทั่วไปรับประทานได้ตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป แต่ควรรับประทานทีละน้อย ๆ แต่นาน ๆ ประมาณ 1-2 ใบก็พอ เนื่องจากบัวบกเป็นยาเย็น และมีการสะสมได้ทำให้หนาว จึงไม่ควรกินวันละเยอะ ๆ ทุกวัน” ภญ.ดร.สุภาพรเผย

ทั้งนี้ ใบบัวบกสามารถทำเป็นเมนูน่าหม่ำสำหรับลูก ๆ วัยกำลังโตได้หลายอย่าง เช่น วุ้นใบบัวบก ซึ่งมีส่วนผสมและวิธีทำง่าย ๆ ดังต่อไปนี้

ส่วนผสม ใบบัวบก 1 กำมือ วุ้นผง 1 ช้อนชา น้ำตาล 4 ช้อนโต๊ะ น้ำสะอาดต้มสุก 1 ถ้วยตวงกับอีกครึ่งถ้วยตวง (สูตรนี้ทำได้ 9 ชิ้น)

วิธีทำ

- ล้างใบบัวบกให้สะอาด แล้วเอาใส่โถปั่น เติมน้ำสะอาดลงไป 1 ถ้วยตวง

- ปั่นจนละเอียดเทกรองเอาแต่น้ำไว้ใช้ทำวุ้น ส่วนกากอาจเอาไปทำอย่างอื่นได้

- ทีนี้เอาน้ำสะอาด 1/2 ถ้วยตวงใสหม้อ ใส่ผงวุ้นลงไป คนให้ละลายแล้วยกตั้งไฟกลาง พอเดือดวุ้นละลายดีแล้วใส่น้ำตาลลงไปได้

- คนจนน้ำตาลละลายดีแล้วปิดไฟได้ แล้วเทน้ำใบบัวบกใส่ลงไป

- คนให้ส่วนผสมเข้ากันดี ตักใส่พิมพ์ และพักจนเย็น พอเริ่มแข็งตัวดีก็แคะออกจากพิมพ์พร้อมทานได้เลย หรืออยากจะแช่เย็นไว้เป็นอาหารว่างก็ได้

น้ำบัวบกหวานเย็น

ส่วนผสม ใบบัวบก 2 ถ้วย น้ำสะอาด 2 ถ้วย น้ำเชื่อมครึ่งถ้วย

วิธีทำ นำใบบัวบกล้างน้ำให้สะอาด นำมาปั่นเติมน้ำพอควร กรองด้วยผ้าขาวบาง เติมน้ำเชื่อม จะได้น้ำใบบัวบกสีเขียว เมื่อจะดื่มใส่น้ำแข็งบด ดื่มแล้วแก้อาการกระหายน้ำ หรือจะเอาใส่กระติกน้ำใบสวยให้ลูกไปดื่มที่โรงเรียนก ็ได้

อย่างไรก็ตาม ไม่เพียงแต่วุ้น และน้ำใบบัวบกเท่านั้น คุณพ่อคุณแม่ยังสามารถนำใบบัวบกไปประกอบอาหารได้สารพ ัด เช่น ทำเป็นไข่เจียวใบบัวบก (สับแบบไม่ต้องละเอียด นำไปตีเข้ากับไข่ ปรุงรสแล้วนำไปทอดตามปกติ) หรือนำไปผัดเป็นกับข้าวคล้าย ๆ ผัดผักบุ้ง หรืออาจจะทำเป็นยำทานเป็นอาหารว่างระหว่างวันร่วมกัน กับลูกก็ยังได้ ซึ่งแต่ละเมนูแล้วแต่คุณพ่อคุณแม่จะคิดขึ้นมาตามความ เหมาะสม

เห็นได้ว่า ใบบัวบกมีประโยชน์มากกว่าแก้ช้ำใน ซึ่งเป็นพืชผักสมุนไพรบำรุงสมอง ช่วยซ่อมแซมสมองส่วนที่ถูกทำลายไป และช่วยป้องกันไม่ให้สมองส่วนที่ยังปกติดีอยู่นั้นถู กทำลายลง แถมยังช่วยให้ความทรงจำมีประสิทธิภาพมากขึ้น และช่วยลดความเครียดได้ดีอีกด้วย ดังนั้นจึงแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มการนำใบบัวบกไปใช้เป ็นอาหารเพิ่มไอคิว และความสามารถในการจำและการเรียนรู้ในเด็ก โดยเฉพาะเด็กปัญญาอ่อนรวมไปถึงเด็กสมาธิสั้นด้วย

ใส่ความเห็น

อีเมล์ของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องที่ต้องการถูกทำเครื่องหมาย *

*

คุณอาจจะใช้ป้ายกำกับและคุณสมบัติHTML: <a href="" title=""> <abbr title=""> <acronym title=""> <b> <blockquote cite=""> <cite> <code> <del datetime=""> <em> <i> <q cite=""> <strike> <strong>