



มีสติในการติดตามกำหนดรู้เท่าทันอารมณ์ที่มากระทบสัมผัสและมีสติพิจารณารู้เท่าทันกายและใจของตนเอง มีความทุกข์น้อยลง และมีความสุขมากขึ้น คลายยึดมันไม่วุ่นวายเดือนร้อนตามกระแสโลก ช่วยตัดเวรตัดกรรมได้ ช่วยให้จิตสงบมีความคิดความจำดี ทำให้เกิดสติปัญญา มีความคิดเห็นถูกต้อง มีความรักความสามัคคี และเป็นการสืบทอดพระศาสนาสืบต่อไป
โครงการศีล 5 พัฒนาชีวิต ครั้งที่ 1 ณ มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ระหว่างวันที่ 11-13 มีนาคม 2554 ซึ่งทางมหาวิทยาลัยฯ จัดขึ้นเป็นโครงการแรกกับการบำเพ็ญเนกขัมมจาริณี หรือที่เราเรียกกันว่า ไปปฏิบัติธรรม ได้มีความสนใจเข้าร่วมในโครงการครี้งนี้ จึงขอเสนอชื่อและมีเพื่อนๆ น้องๆ จากสำนักฯ ไปด้วยกัน ซึ่งเป็นการถือศีล 8 การไปปฏิบัติในครั้งนี้ได้พบสิ่งใหม่ๆ ในตนเองที่ไม่สามารถบอกมาเป็นคำพูดได้แล้วนั้นหรือเป็นความอัศจรรย์ใจ เมื่อได้พบเจอในระหว่งการปฏิบัติ แต่สำหรับเนื้อหาแล้วนั้น ขอนำบทความตัดต่อบางส่วนในหนังสือคู่มือสมาธิภาวนา สวดมนต์แปล ฝ่ายวิปัสนาธุระ มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย ที่ได้ปฏิบัติกันระหว่างโครงการ มาบอกกล่าวเพื่อเป็นประโยชน์ต่อไป
การบำเพ็ญเนกขัมมจาริณี คือการออกบวชเพื่ออบรมธรรมและประพฤติปฏิบัติธรรม การถือศีล 8 การสวดมนต์ การทำวัตรเช้า การทำวัตรเย็น รับฟังการบรรยายธรรม และการฝึกปฏิบัติวิปัสนากัมมัฏฐาน การส่งและสอบอารมณ์ ปฏิบัติตามหลักสติปัฏฐาน 4 กำหนดรู้อารมณ์ หรือปรากฏการณ์รูปและนาม ซึ่งในขั้นแรกจะกำหนดปรากฏการณ์ที่ชัดเจนก่อน คือการติดตามดูกายและอาการของกาย โดยสอนให้กำหนดรู้อิริยาบทใหญ่ทั้ง 4 คือ การยืน การเดิน การนั่ง การนอน และอิริยาบถย่อยต่าง ๆ เช่น เดินหน้า การกิน การดื่ม และในอิริยาบถใหญ่ทั้ง 4 คือการสอนให้กำหนดการเดินและการนั่ง เป็นต้นเรียกว่า การเดินจงกรม และการนั่งสมาธิ
การวิธีปฏิบัติทำให้เกิดการเห็นชัดตามสภาพที่เป็นจริงๆ ในการฝึกฝนอบรมปัญญาให้เกิดความเห็นแจ้งรู้ชัดในสิ่งต่าง ๆ ทั้งหลายที่เกิดขึ้นตรงต่อสภาวะของมันเอง คือเข้าใจตามความเป็นจริง ไม่ยึดติดกับรูปนามที่เห็น ความไม่เที่ยงเป็นทุกข์ หลงผิด รู้ผิด และยึดติด
ขณะที่ปฏิบัติต้องกำหนดใจให้เป็นปัจจุบัน มีสติอยู่กับปัจจุบัน คือที่อาการ พอง-ยุบ ที่ท้อง อย่าไปดูที่ลมหายใจเพราะคนเราหายใจไม่เท่ากัน และอย่าเบ่งท้องแต่กำหนดอยู่ที่อาการของท้อง เปลี่ยนไปตามอาการว่า “พองหนอ-ยุบหนอ” ให้ภาวนาอย่างนี้ตลอดไป หรือสิ่งที่เห็นและเกิดขึ้นในขณะนั้นก็ให้ส่งจิตไปยังสิ่งที่เกิดขึ้นเช่นอาการปวดตรงไหนให้ไปกำหนดที่ตรงนั้น ว่า “ปวดหนอ” กำหนดรู้ในอารมณ์ ณ ขณะที่เกิดขึ้นในการปฏิบัติ ประโยชน์ของหนอทำให้สมาธิเกิดเร็วขึ้นโดยภาวนาพร้อมไปกับการนั่งสมาธิ ครั้งหนึ่งๆ จะเป็นเวลา 30 นาที และเปลี่ยนสลับกับการเดินจงกรม 30 นาที
การเดินจงกรม วิธีการเดินจงกรม ครั้งแรกให้กำหนดการเดินระยะที่ 1 คือ ขวาย่างหนอ-ซ้ายย่างหนอ ระยะที่ 2 คือ ยกหนอ-เหยียบหนอ ระยะที่ 3 คือ ยกหนอ-ย่างหนอ-เหยียบหนอ ให้กำหนดภาวนาในใจระหว่างการเดิน
อาจจะเป็นเรื่องยากเกินสำหรับท่านที่ไม่เคยปฏิบัติมาก่อน สำหรับคนทั่วไปแล้ว เพืยงแค่ก่อนนอน เมื่อเราเอนตัวลงนอนอย่างช้าๆ และค่อยๆ หลับตาลง ระลึกรู้อยู่ที่ตัวเอง….แค่นี้ก็เกิดสมาธิ สติอยู่กับตนเอง สมองเลิกคิดเรื่องใดใดทั้งสิ้น ระลึกรู้อยู่กับตัวเอง ทุกขณะ …ลองทำดูนะคะ
หลับอย่างมีสติ ….

 
            
            
    
            
          




 More Options ...
 More Options ...
 Categories
          Categories Tag Cloud
          Tag Cloud Blog RSS
          Blog RSS Comments RSS
          Comments RSS


 Void « Default
Void « Default Life
Life  Earth
Earth  Wind
Wind  Water
Water  Fire
Fire  Light
Light 