มิ.ย.
25
2011

ถ้าคิดจะทำดี…”อย่ากลัว”

จากที่เคยคิดว่าตัวเองเป็นคนหนึ่งที่กลัวเข็มเอาเสียมากๆคนหนึ่ง เทียบได้ว่าหากจะต้องให้เลือดจริงๆ ช่วยวางยาสลบไปเลยได้มั้ย แต่ความคิดนี้เริ่มหายไปเมื่อความอยากให้ อยากที่จะช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์ หรือใครก็ตามที่อาจจะเป็นคนที่รู้จักหรือไม่เคยพบเห็นกันมาก่อน ด้วยความที่อยากจะให้ คิดว่าเจ็บเพียงเล็กน้อยแค่นี้ อาจเทียบไม่ได้เลยกับคนที่เขาต้องป่วยทางเลือด หรือต้องประสบอุบัติเหตุ  เขาต้องเจ็บทรมานมากกว่านัก เมื่อนั้นความกล้า มันเกิดขึ้นเอง เกิดขึ้นมากกว่าความกลัว

อยากจะเล่าประสบการณ์ครั้งแรกของการบริจาคเลือดให้ฟัง ความรู้สึกคงไม่ต่างกับคนอื่นๆที่มีความกลัวเป็นที่ตั้ง บางคนคิดว่า แค่บริจาคเลือด  ทำเป็นเรื่องใหญ่โต เชื่อเถอะว่าคนๆนั้น คงไม่มีจิตวิญญาณของการเป็นผู้ให้ ที่แท้จริงเท่าไรนัก  ต้องขอบคุณเพื่อนที่ชวนไปบริจาค ไม่งั้นคงไม่มีใครพาไป และหิ้วกลับ (ล้อเล่นค่ะไม่ถึงกับต้องหิ้ว) ไปถึงที่จุดรับบริจาคเลือด กรอกแบบฟอร์ม ชั่งน้ำหนัก ได้ 45 กก. พอดีไม่ขาดไม่เกิน ทานข้าวเหนียว หมูปิ้งไปก่อนให้บริจาคเลือด แต่หลักที่ถูกต้องๆทานอาหารเช้านะคะ ตรวจเลือด ตัวเองเป็นคนเลือดกรุ๊ป B  คนส่วนมากที่มาบริจาค จะไม่ค่อยผ่านด่านนี้ เพราะส่วนมากจะเลือดจางซะก่อน แต่ผลตรวจเลือดของตัวเองความเข้มของเลือดได้ 14 (หน่วยเป็นอะไรหมอไม่ได้บอกค่ะ) โอ้แม่เจ้า! อาหารก็ทานไม่ครบ 5 หมู่  นอนก็สี่ทุ่มกว่า แต่ความเข้มของเลือดถือว่า ดี เหตุที่ความเข้มของเลือดดี คุณหมอให้เหตุผลว่า เป็นเพราะเราทานผักและน้ำผลไม้ น้ำผลไม้มีวิตามินซีสูงมีความสามารถน่าอัศจรรย์อีกประการคือ มันช่วยให้ธาตุเหล็กถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้มาก หลังจากทราบผลเลือด ระหว่างที่นั่งรอให้เลือด ก็ทำใจดีสู้เสืออยู่ พยายามชวนน้องที่ให้เลือดคุยไปด้วย กลบเกลือนความกลัวและความตื่นเต้น
สุดท้ายขั้นตอนให้เลือดเป็นวินาทีที่ที่สุดแล้วของการให้เลือดในวันนี้ พยายามบอกหมออยู่หลายครั้งว่าหนูครั้งแรกนะคะ เผื่อคุณหมอจะได้เห็นใจ แล้วเบามือให้นิดหน่อย แต่ไม่รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองพูดไปนั้นได้ผลหรืออาจเป็นเพราะเจอคุณหมอมือเบาอยู่แล้วทำให้การเจาะเลือดครั้งนี้ผ่านไปด้วยดี เจ็บนิดหน่อยค่ะ  ความรู้สึกเมือเห็นเลือดของตัวเองครั้งแรก ไหลผ่านสายใส่ถุงเลือดนั้น ความรู้สึกมันดีใจ ภูมิใจมาก (ความรู้สึกภูมิใจเหมือนตัวเองคลอดลูกกันเลยทีเดียว)  และผลที่เห็นได้ชัดที่สุด คือเมื่อสิ้นสุดขั้นตอนการให้เลือดลง เพิ่งรู้ว่าความกลัวทั้งหลาย คือ สิ่งที่เราสร้างขึ้นเองจริงๆ

อีกหนึ่งโครงการดีๆที่อยากบอกต่อ…

นอกจากครั้งนี้ที่ได้มีโอกาสบริจาคเลือดแล้ว  ยังมีพี่ๆเจ้าหน้าที่แนะนำโครงการให้ทราบอีกหนึ่งโครงการซึ่งน่าสนใจมาก คือ “โครงการรับบริจาคเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิตหรือสเต็มเซลล์ (stem cell)” จริงๆตัวเองก็ไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไรนัก แต่คิดว่าเป็นโครงการที่ดีและเป็นอีกหนึ่งทางที่ได้ช่วยผู้ป่วยเหมือนกัน ก็เลยสมัครลงโครงการนี้ไป แล้วมาหาข้อมูลเพิ่มเติมทีหลัง   เพิ่งรู้ว่าจะบริจาคเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิตหรือสเต็มเซลล์ให้ผู้ป่วยได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย คุณหมอจะต้องเก็บตัวอย่างเลือดของเรา ประมาณ 20 ซี.ซี เพื่อนำไปตรวจลักษณะเนื้อเยื่อของเราก่อน หากลักษณะเนื้อเยื่อของเราเข้ากับผู้ป่วยได้ ถึงจะบริจาคได้ แต่ดูจากสถิติแล้วมีอาสาสมัครเพื่อบริจาคเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิตหรือสเต็มเซลล์ 80,000 ราย แต่มีผู้ได้รับบริจาคจริงให้กับผู้ป่วยได้เพียง 75 ราย และมีผู้ป่วยจำนวนกว่า 1000 รายที่รอรับเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิตอยู่ และมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มขึ้นอีกด้วย

มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการบริจาคเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิตหรือสเต็มเซลล์กันค่ะ ดูข้อมูลเพิ่มเติม

Tip ประโยชน์ของการบริจาคเลือด

• ร่างกายได้เม็ดเลือดใหม่ ซึ่งแข็งแรงและทำงานได้มีประสิทธิภาพกว่า ทำให้เม็ดเลือดแดงลำเลียงออกซิเจนได้เต็มที่ เม็ดเลือดขาวทำลายสิ่งแปลกปลอมได้ดีขึ้น และเกล็ดเลือดซ่อมแซมรอยฉีกขาดในร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
• กระตุ้นการทำงานของไขกระดูก เปรียบเหมือนการออกกำลังกายให้กับไขกระดูกได้ทำงานดีขึ้น
• ได้ตรวจสุขภาพทางอ้อม เพราะเมื่อมีการได้รับเลือดแล้ว ทางสภากาชาดจะต้องตรวจความสมบูรณ์ของเลือด ตรวจหาภาวะติดเชื้อต่างๆ เท่ากับผู้บริจาคได้รู้ภาวะสุขภาพของตนเองในขณะนั้นด้วย
• ลดความเสี่ยงโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน การวิจัยในประเทศฟินแลนด์พบว่า การบริจาคโลหิตช่วยลดความเสี่ยงโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันในเพศชายได้ถึง 88 เปอร์เซ็นต์ เพราะโรคนี้มีความสัมพันธ์กับปริมาณธาตุเหล็กที่สะสมในร่างกาย หากมีสะสมมาก โอกาสเสี่ยงย่อมสูง เนื่องจากธาตุเหล็กส่งผลให้ไขมันทำปฏิกิริยาออกซิเจนจนหลอดเลือดตีบและกลายเป็นอาการกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน การบริจาคเลือดจึงช่วยให้ร่างกายลดภาวการณ์ สะสมธาตุเหล็ก ซึ่งเท่ากับลดความเสี่ยงโรคหัวใจลงด้วยนั่นเอง การบริจาคเลือดทุก 3 เดือน จึงเป็นอีกหนึ่งโอกาสที่จะช่วยให้คุณมีสุขภาพดีขึ้นได้ด้วยตนเอง

ที่มา : นิตยสาร HEALTH & CUISINE ปีที่ 4 ฉบับที่ 47 ธันวาคม 2547 หน้า 32


1 ความเห็น »

RSS feed for comments on this post. TrackBack URL


Leave a Reply

Powered by WordPress | Theme: Siteslike